เอาตัวรอดอย่างไรบนโลกที่เต็มไปด้วย “ภาวะโลกรวน”
และภาวะเศรษฐกิจที่คาดเดาไม่ได้ตลอดเวลา

แม้การทำนารายปีจะเป็นองค์ความรู้ที่ดูไม่ลึกลับสำหรับสังคมที่มีรากฐานเกษตรกรรมยาวนานแบบไทย แต่ดูเหมือนว่า “รายได้ รายจ่าย และเรื่องการเงิน” ของชาวนาปีนั้น ดูจะเป็นข้อมูลระดับปริศนาธรรม ที่เต็มไปด้วยความลี้ลับคลุมเครือ สำหรับสังคมไทยอยู่ไม่น้อย
แต่ละปี ชาวนาปีได้รายได้กันเท่าไหร่?
แต่ละปี ชาวนาปีลงทุนและมีรายจ่ายไปกับอะไรบ้าง?
และแต่ละปี ชาวนาปีจัดการการเงินกันอย่างไร? – เพื่อให้เพียงพอต่อการเติบโต เพียงพอต่อการดูแลรักษาพยาบาลยามป่วยไข้ และเพียงพอต่อการเกษียณชีวิตอย่างสง่างาม
ในบทสัมภาษณ์นี้ เพจ Money Queen ได้คุยเปิดใจกับชาวนารายปีจากภาคเหนือท่านหนึ่ง คือ คุณธีรวัฒน์ เสื้อมา ชายหนุ่มวัยกลางคนที่หันหลังให้งานออฟฟิศ และหวนกลับบ้านเกิดเพื่อมาสร้างชีวิตและบริหารจัดการเงินแบบที่เขาเชื่อมั่น ภายใต้หมวกอาชีพที่เรียกว่า
“เกษตรกร”
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในวัย 33 ด้วยต้นทุนชีวิตที่มีพื้นที่เกษตร 12 ไร่
เดิมทีผมเป็นพนักงานออฟฟิศของบริษัทยานยนต์ญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ทำงานอยู่เกือบ 10 ปี ครั้นปี 2558 ได้ตัดสินใจกลับมาลุยทำเกษตรที่บ้านเกิด คือ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เหตุผลที่กลับมาเพราะ (1) ตระหนักว่าพ่อแม่อายุมากแล้ว (2) งานออฟฟิศถึงทำให้ตายอย่างไรเราก็ไม่ใช่เจ้าของ (3) อยากลองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทำเกษตรดูบ้าง ระยะทดลองที่ตั้งใจไว้คือ 1 ปี ถ้าไม่รอดจริงๆ ก็จะกลับเข้าสู่สังเวียนออฟฟิศอีกคราว
ปีนั้นคือปี 2558 บ้านผมที่เชียงดาวมีพื้นที่ 7 ไร่ และผมซื้อเพิ่มอีก 5 ไร่ กลายเป็น 12 ไร่ ซึ่งภายใต้พื้นที่เกษตรกรรม 12 ไร่นี้ ผมแบ่ง 6 ไร่ปลูกลำไย, แบ่ง 2 ไร่ปลูกผักหมุนเวียน, อีก 4 ไร่ไว้ทำนา โดยภาคเหนือจะทำนาแบบรายปี คือปีนึงทำนารอบเดียว ได้ผลผลิตและขายข้าวเพื่อทำเงินได้เพียง 1 ครั้ง แต่พื้นที่นา 4 ไร่นี้ ในช่วงฤดูหนาวและฤดูแล้งที่ไม่ได้ทำนา ผมจะปลูกกระเทียมขาย เป็นรายได้อีกทาง
ต้องแจ้งก่อนว่า พื้นที่ อ.เชียงดาว จุดที่ผมอยู่ ค่อนข้างโชคดีที่มีน้ำเพียงพอสำหรับการทำเกษตรตลอดปี และมีอุณหภูมิที่เหมาะแก่การปลูกพืชเศรษฐกิจบางชนิด ทำให้ภายใต้พื้นที่ 12 ไร่ อาจสร้างผลผลิตได้มากกว่าหากเทียบกับพื้นที่เกษตกรรมในภูมิภาคอื่นที่แล้งและมีปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างจริงจัง
เปิดอกคุยแบบคนทำจริง : ปลูกข้าว 4 ไร่ เพื่อขายปีละครั้ง – อยู่รอดได้ หรือ ยากจะรอด?
ผมใช้พื้นที่ 4 ไร่ในการปลูกข้าว โดย 1 ไร่ปลูกข้าวเหนียวไว้กินในครัวเรือน ส่วนอีก 3 ไร่ปลูกข้าวหอมมะลิและข้าวไรซ์เบอร์รี่เพื่อขาย ซึ่งผลผลิตที่ได้คือ ไร่ละ 600 กิโลกรัม พอนำมาสี ก็เหลือเป็นข้าวไร่ละ 400 กิโลกรัม ซึ่งผมไม่ได้ขายเหมาให้โรงสีโดยตรง แต่นำมาทำหีบห่อเพื่อขายเอง โดยขายเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท ดังนั้นเมื่อคำนวณผลผลิตที่ได้จาก 3 ไร่ ก็จะพบว่า รายได้จากการปลูกข้าวขายในพื้นที่ 3 ไร่ (เพราะอีก 1 ไร่ปลูกไว้กิน) จะได้ยอดขายปีละประมาณ 120,000 บาท แต่ทั้งนี้หักต้นทุนไป 20,000 บาท จะได้ยอดรวมรายได้จากข้าวนับเป็น 100,000 บาทต่อปี
ซึ่งแน่นอนว่า การปลูกข้าวนาปีแล้วได้รายได้ปีละ 100,000 บาท คง “ยากจะรอด” ในระยะยาว
แต่อย่างที่ได้แจ้งไป ผมยังมีที่ดินเกษตรกรรมอีก 6 ไร่สำหรับลำไย และอีก 2 ไร่สำหรับพืชผักหมุนเวียน และนอกจากนี้ 4 ไร่ที่ไว้ปลูกข้าวนาปีนั้น พอถึงฤดูหนาวและแล้ง ผมก็ปรับมาปลูกกระเทียมขาย ทำให้ผมมีรายได้จากพืชผลทางอื่น ซึ่งถ้าให้อธิบายแจกแจงการจัดการเงิน ก็จะได้ประมาณนี้
รายได้เลี้ยงตัวรายเดือน
ข้าวนาปีจะให้ผลผลิตเพียง 1 ครั้งต่อปี แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้นำส่วนนี้ไปขายโรงสี แต่นำมาจัดการขายออนไลน์เอง ทำให้มีรายรับเข้ามาทุกเดือน เฉลี่ยเดือนละ 8 – 9 พันบาท ซึ่งผมจะนำตรงนี้มาเป็นค่ากินอยู่รายเดือนของตนเอง
นอกจากนี้ กระเทียมที่ผลิตนอกฤดูทำนา แต่ละปีก็จะสร้างรายได้ประมาณ 1 แสนบาท ซึ่งผมจะนำยอดขายส่วนนี้มาสมทบกับค่าใช้จ่ายรายเดือนอีกทาง ส่วนที่เหลือใช้ก็จะนำไปซื้อทองคำเก็บ
รายได้เงินก้อนรายปีที่เป็นเสมือนโบนัสของอาชีพเกษตร
สำหรับพื้นที่ 6 ไร่นั้น ผมปลูกลำไยรวม 300 กว่าต้น ซึ่งบางปีได้ราคาดี ก็ขายได้ปีละ 2-3 แสนบาท แต่บางปีราคาตก ก็ขายได้ปีละ 1 แสนบาท เงินจากลำไยนับเป็นรายได้รายปี โดยผมจะนำไปรวมกับรายได้ที่ได้จากพืชผักหมุนเวียนอีก 2 ไร่ ทั้งนี้พืชผักหมุนเวียนจะเป็นกลุ่มพืชสมุนไพร เช่น เก๊กฮวย กุหลาบ อัญชัน ตะไคร้ ซึ่งผลผลิตตรงนี้จะมีบริษัทมารับซื้อไปส่งต่อที่ตลาดฮ่องกงอีกที แต่รายได้จะไม่แน่นอน เพราะเราเป็นผู้ผลิตขั้นต้น ไม่ใช่คนที่นำผลผลิตไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง หากบริษัทรับซื้อเจอปัญหา เขาก็ต้องระงับออเดอร์ ปีนั้นยอดขายอาจจะได้รับผลกระทบ โดยช่วงที่ได้รับผลกระทบหนัก เราก็จะนำผลผลิตที่ได้มาแปรรูปขายเอง เช่น ชากุหลาบ อัญชัญอบแห้ง เป็นต้น ยอดขายที่แปรรูปเองก็จะได้ประมาณปีละ 1 แสนบาท แต่ทั้งนี้รายได้จะขึ้นกับการปรับตัวและรับมือกับความผันผวนที่เจอ เพราะอาชีพเกษตรกรนั้น หากเป็นปีที่ดี เกษตรกรก็จะได้ผลผลิตดีและมีตลาดรองรับ ขณะที่ปีที่แย่ เกษตรกรจะเจอภัยธรรมชาติ ผลผลิตเสียหาย และเจอความผันผวนของตลาดปลายทางที่ทำให้แทบไม่ได้ส่งออก / ส่งขาย ซึ่งเราต้องเตรียมพร้อมรับมือ
หลักๆ คือ รายได้จากลำไยและพืชผักหมุนเวียน จะนับเป็นเงินก้อนรายปี คล้ายๆ กับโบนัสของคนทำงานออฟฟิศ แต่อันนี้คือโบนัสของเกษตรกร ซึ่งผมจะนำเงินส่วนนี้ไปเก็บและลงทุน ซึ่งปัจจุบันลงทุนและต่อเติมบ้านพักโฮมสเตย์ขนาดเล็ก 5 หลังอยู่ โดยกิจการโฮมสเตย์ถือเป็นการแตกแขนงธุรกิจจากรากฐานเกษตรที่ทำอยู่ เพราะมองว่าผลผลิตการเกษตรนั้นมีความเสี่ยงจากปัจจัยภาวะโลกรวน (Global Warming) ภาวะเศรษฐกิจแปรปรวน และความนิยมของผู้บริโภคที่ผันแปรตามเทรนด์โลก
การจัดการการเงิน : ฉบับเกษตรกรคนโสด
ด้วยปัจจัยชีวิตผมที่ยังไม่ได้แต่งงาน พ่อแม่มีอาชีพเลี้ยงตัวเองอยู่แล้ว ผมก็ดูแลรายจ่ายพื้นฐานของบ้าน แบ่งส่วนหนึ่งมาเปิดร้านค้าขายให้แม่ดูแล นอกจากนั้นก็มีหลักบริหารจัดการเงินดังนี้
ไม่สร้างหนี้ที่มีดอกเบี้ย พยายามจ่ายเงินสด
ตอนนี้นำเงินก้อนรายปีจากการขายลำไยและพืชผักหมุนเวียนมาลงทุนในบ้านพักโฮมสเตย์หลังเล็ก 5 หลัง ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจจากรากฐานเกษตรกรรมที่เรามี โดยอนาคตจะแตกกิ่งก้านมาทำเรื่องบริการและกิจกรรมด้านการเรียนรู้มากขึ้น
สำหรับบ้านพักโฮมสเตย์ เราทยอยก่อสร้าง โดยแบ่งเป็นเฟส แต่ละเฟสจะจ่ายเงินสด ไม่กู้เงินมาสร้าง ผมพยายามยึดหลักว่า จะไม่สร้างหนี้ที่มีดอกเบี้ย
ส่วนรถยนต์ ผมโชคดีที่ผ่อนรถหมดตั้งแต่สมัยทำงานออฟฟิศ ช่วงชีวิตที่หันมาทำเกษตรก็ไม่ได้งอกรถเพิ่ม เพราะต้องยอมรับว่า รายได้จากการเกษตรก็เหมือนการทำธุรกิจ ซึ่งในโลกที่มีทั้งภาวะโลกรวน ภาวะเศรษฐกิจแปรปรวน สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตรเยอะมาก มีความไม่แน่นอนสูง เราเลยต้องบริหารจัดการและใช้เงินอย่างรอบคอบ
กินใช้ตามกำลัง แต่ต้องทำอย่างไม่เบียดเบียนตน
ผมกินใช้เดือนละไม่เกิน 1 หมื่นบาท จริงๆ ไม่ได้มีหลักการว่าต้องใช้จ่ายกี่เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน เพราะความที่เราอยู่ต่างจังหวัด ไม่มีหนี้บ้านหนี้รถ ประกอบกับแม่เปิดร้านอาหาร แถมเรายังทำงานเกษตรซึ่งอยู่ในละแวกบ้าน ค่ากินอยู่รวมถึงค่าใช้จ่ายจึงคาดเดาได้ว่าประมาณเท่านี้พอ โดยในงบเท่านี้ ผมก็มีเหลือให้แวะเวียนไปคาเฟ่ ไปสังสรรค์เจอเพื่อนฝูงบ้าง
เลือกลงทุนในที่ดินและทองคำ
อย่างที่บอกไปว่าตอนผมกลับมาทำเกษตรใหม่ๆ ผมซื้อที่ดินเพิ่มอีก 5 ไร่ ซึ่งในมุมผม ที่ดินตรงนี้ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง คนอื่นอาจลงทุนในกองทุน หุ้น หรือคริปโต แต่เราเลือกลงทุนในที่ดิน ส่วนเงินเก็บผมไม่ได้เก็บเป็นเงินสดเลย เก็บในรูปแบบทองคำแทน เพราะคิดว่าทองคำสู้เงินเฟ้อได้มากกว่า เวลาที่อาจต้องการใช้เงินก้อนจริงๆ ก็จะขายทองคำบางส่วนออกมา
การวางแผนด้านสุขภาพแบบเกษตรกร
เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตคน เพราะบางครั้งการเจ็บป่วยอาจนำมาซึ่งรายจ่ายมหาศาลสำหรับหลายครัวเรือน ทั้งนี้ผมมองว่าการที่ประเทศไทยมีนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) เป็นสิ่งที่ช่วยปลดภาระด้านการเงิน ลดความกังวล และช่วยไม่ให้หน่วยพื้นฐานอย่างครอบครัวล่มสลายได้
สำหรับระยะยาว ผมมองว่าการมีประกันสุขภาพสำคัญ แต่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำ เพราะหากเจ็บป่วย ตอนนี้ก็ไปโรงพยาบาลรัฐโดยใช้บัตรทองได้อยู่ ถือว่าดีหน่อยที่ในพื้นที่ของผมมีคุณหมอที่เก่งๆ แล้วดูแลคนไข้ดี ทำให้การรักษาตามสิทธิบัตรทองก็เพียงพอแล้ว แต่ในอนาคตก็คงทำประกันสุขภาพ ส่วนพ่อแม่เขาก็ใช้สิทธิรักษาบัตรทองเช่นกันครับ แต่เราก็เตรียมทุนสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายสุขภาพด้วย เผื่อเป็นค่าเดินทางและค่ายาบางส่วนที่สิทธิบัตรทองไม่ครอบคลุม
Design My Rich Life: นิยามชีวิตร่ำรวยแบบที่ฝันถึง
สำหรับคำว่า “ร่ำรวย” ในมุมของคนทำอาชีพเกษตรกรอย่างผม ผมมองว่า ชีวิตตอนนี้ที่ได้ทำอาชีพที่เราชอบ เราเชี่ยวชาญ และเรามีองค์ความรู้ไปบรรยายแบ่งปันคนอื่นต่อได้ รวมถึงเรามีเวลาและทรัพยากรดูแลตนเองและครอบครัว มีแผนธุรกิจที่คิดว่าพอทำไหวและพอเลี้ยงตัวได้ ผมว่านี่คือชีวิตร่ำรวยในแบบที่เราวางแผนและฝันถึง
ส่วนการวางแผนเกษียณ เงินเกษียณของผมอยู่ในที่ดิน 12 ไร่นี้ รวมถึงบ้านพักโฮมสเตย์ 5 หลัง และเก็บออมไว้ในแบบทองคำ ซึ่งที่ดินและบ้านพักอาจถือเป็นสินทรัพย์ที่ไม่คล่องตัว แต่ทองคำถือว่าคล่องตัวอยู่ ทั้งนี้มุมมองการจัดการตรงนี้ของแต่ละคนอาจหลากหลายและไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน เพราะทุกคนย่อมมีปัจจัยแวดล้อมชีวิตที่ต่างกันไป
เราเพียงจัดการให้ตัวเราไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนครอบครัว และไม่เบียดเบียนสังคมก็คงเป็นชีวิตเกษียณที่สง่างามแล้ว